
‘เนปาล’ คือประเทศที่คุณควรใส่ไว้ใน bucket list และมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต ของนักเดินทาง ท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเดินขึ้นเขา trekking ยิ่งไม่ควรพลาด
ทริปนี้เป็นเราเลือกที่จะไปเส้น Mardi Himal ขึ้นไปดูยอดมัจฉาปูชเรแบบเต็มตาข้างบนกัน โดยใช้เวลาในการเดินทั้งสิ้น 4 วัน 4 คืน
ยอดเขามัจฉาปูชเร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาฮินดู ในฐานะที่พำนักของพระศิวะ จาก High camp มองไปก็สวยงามกว่าที่คิดแล้ว แต่จุดหมายเราคือขึ้นไปให้ถึงวิวพอยท์
เทือกเขาซ้อนสลับกันบังตะวันสาดยามเช้า ที่เรสท์แคมป์ ธงมนต์ที่ผูกไว้ตามจุดต่างๆ บนยอดเขา วิวพอยท์ หรือเบสแคมป์ ซึ่งช่วงที่เราไปคือปลายเดือนตุลาคม ซึ่งก็เป็นไฮซีซั่น เช่นเกียวกับช่วงเดือนเมษายนของทุกปี อากาศจะเย็นกำลังดีระหว่างทางยังไม่มีน้ำแข็งจากหิมะเกาะบนพื้นทางเดินมากนัก



วิวข้างทางตลอดการเดินทางนั้นจะเป็นป่าโบราณสลับไปกับแนวสันเขา ไม่ค่อยอันตราย แต่ที่ไม่ง่ายสำหรับมือใหม่ที่ไม่ใช่สายออกกำลังกาย เพราะต้อง ขึ้น และขึ้น อย่างเดียว จนอาจตาลายเมาขั้นบันไดกันไปเลย
ดังนั้นควรเตรียมความพร้อมทางร่างกายพอสมควร ออกแรงกำลังขา ฝึกหายใจให้คงที่สม่ำเสมอ เมื่อเดินจริงก็ไม่ต้องรีบร้อน ส่วนสมาร์ทวอทซ์ ที่จับการเต้นของหัวใจสามารถช่วยเตือนให้คุณหยุดพักได้ แต่หากไม่มีก็ไม่เป็นไร เน้นพักบ่อย ถึงช้าแต่ถึงชัวร์ดีที่สุด


เราพักในกาฐมาณฑุ 1 วัน เพื่อรอขึ้นเครื่องบินในประเทศต่อไปยังสนามบินโพครา (Pokhara International Airport) เพิ่งเปิดใช้ได้ประมาณหนึ่งปีเท่านั้น เอาจริงๆ สะดวกสบายและทันสมัยกว่าที่กาฐมาณฑุเสียอีกด้วยซ้ำ




วิวบนดาดฟ้าของที่พัก มองเห็นทะเลสาบเฟวา และยอดเขา เราพักที่ ‘POKHARA TOURIST HOME’ โดยส่งอีเมลคุยให้ทางที่พักประสานงานไกด์ให้ตั้งแต่ที่ไทย
ช่วงบ่ายไกด์มาบรีฟเส้นทางตั้งแต่วันแรก ก่อนออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า โดยจะยึดตามความต้องการของนักเดินทาง ซึ่งสามารถแจ้งได้เลยว่าอยากจะใช้เวลากี่วัน พักกี่คืน และใช้งบประมาณเท่าไร ถึงตรงนี้ควรสรุปให้ชัดเจนว่าต้องการใช้ลูกหาบหรือไม่ และรถรับส่งแบบไหน




เมื่อกินข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว รถก็มาจอดรอรับพร้อมเดินทาง โดยทางที่พักเตรียมน้ำเปล่าให้เราคนละ 2 ขวดลิตร ให้พอใช้ใน 2 วันแรก เพราะหลังจากน้ำเราจะใช้ Purified Tablets ฆ่าเชื้อในน้ำที่จะดื่มกัน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อไปยังจุดเริ่มต้นเดินที่ Kande

เสตปแรก รับน้องกันก่อนเบาๆ และเราต้องเจอแบบนี้ไปอีกตลอด 4 วัน ช่วงนี้เมื่อเดินไปสักพักเราจะเริ่มเรียนรู้วิธีการเดิน การพัก และการหายใจได้
แรกๆ ยังแวะดูแผนที่เป็นระยะๆ แต่ช่วงหลังคือก้มหน้าเดินตามไกด์อย่างเดียวไม่เอาอะไรแล้ว


ที่พักแรกของวันนี้หลังจากเดินมาประมาณ 4 ชั่วโมง น้องลูกหาบบอกว่าวันนี้เบาสุดนะ ..หาาาา
ที่นี่มีทั้งน้ำอุ่นให้อาบ และอากาศยังไม่เย็นมากนัก ควรนอนพักผ่อนเก็บแรงให้เต็มที่ ส่วนมื้อแรกบนภูเขานั้นทุกคนยังตื่นตาตื่นใจกับเมนู และรสชาติที่แปลกใหม่อยู่ พอวันหลังๆ ถึงบางอ้อเลยว่าเมนูเหมือนกันทุกแคมป์เลยนี่หว่า 555

วิวแรกที่แคมป์ตอนเช้ามืด เมฆหมอกพัดผ่านทำให้ฟ้าใสอยู่ช่วงหนึ่ง สำหรับเราแค่นี้ก็สวยมากแล้วให้กลับบ้านเลยยังได้ พอมานึกว่ามีสวยกว่านี้ให้เห็นอีกยิ่งทำให้ใจฟูยิ่งขึ้น
มื้อเช้าของแต่ละวันควรกินให้เยอะเท่าที่จะทำได้เพื่อเติมพลังงาน และเข้าห้องน้ำทำกิจธุระก่อนออกเดินทางให้ได้ทุกครั้ง


สีขาว-ฟ้า ที่ใช้บอกทางนักเดินเขา ตรงจุดนี้เราสามารถไปได้สองเส้นทาง แต่ไกด์เลือกให้ไปทางซ้าย เพราะคิดว่าอาจง่ายกับพวกเรามากกว่า
บรรยากาศป่าดิบชื้น และมีต้นไม้ใหญ่บังแดดตลอดทาง ทำให้เส้นนี้ค่อนข้างจะเย็นสบาย


เหมือนจะรู้ว่าถึงลิมิตของร่างกายพวกเราในวันนี้ ก็มาถึงที่พักของวันนี้พอดี หลังจากอาบน้ำหรือเช็ดเนื้อเช็ดตัวกันแล้ว ทุกคนก็มักจะออกมานั่งสั่งอาหารรอและสนทนา บ้างก็ยืดเส้นยืดสายกัน สำหรับเส้นทางนี้เรามักจะได้มิตรใหม่ต่างชาติอยู่เกือบทุกๆ แคมป์ที่ไปถึง
จากตรงนี้เราจะเริ่มจำหน้าของเพื่อนร่วมทางบางกลุ่มได้ แล้วก็จะเริ่มตั้งชื่อเล่นไว้เรียก อาทิเช่น แก๊งค์อาจุมม่าจากเกาหลี แก๊งค์สาววัยรุ่นอินเดีย แก๊งค์ทัวร์ลูกเป็ด เป็นต้น


วันนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว ผ้าบัฟที่ข้อมือก็เริ่มจะกักตุนน้ำมุกเกินลิมิตของมัน จึงมาหยุดหาอะไรดื่มอุ่นๆ ที่ Low camp
Ginger Honey Lemon Tea เมนูนี้คือดีมาก แนะนำเลยทุกคน ชุ่มคอสดชื่น และตื่นเลย


หาพบฝูงลาเดินมา ให้หลบฝั่งชิดภูเขานะ ไม่งั้นน้องอาจชนตกหน้าผาได้ และอย่ามัวแต่ถ่ายรูปจนเกะกะการทำงานของเค้าด้วย
อ้อ! วิวหน้าผาแถบ Badal Danda นี้ค่อนข้างสวยเหมาะแก่การชักภาพทีเดียวเชียว
ด้านบนจะมีฝูงแพะ และจามรีหรือ Yak ที่ถูกเลี้ยงแบบปล่อย ให้เห็นเป็นระยะ ซึ่งเมื่อเห็นใกล้ๆ ถึงกับตกใจขนาดของมันมาก


และแล้วเราก็เดินทางมาถึงที่พักสุดท้าย High Camp (สักที)
ตอนที่มาถึงแทบมองไม่เห็นอะไรเลย พอสักพักเราได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอกจึงรีบออกไปดู ทุกคนก็มารวมอยู่ที่ระเบียงด้านหลังห้องเพื่อชมยอดเขา Annapurna South กันแล้ว


ส่วนจุดหมายที่เราจะไปด้านขวามือนั้น อีกนิดเดียวก็เกือบจะเห็นปลายหางปลาแล้ว ไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะเดินขึ้นไปดูใกล้ๆ ยอดเลย
บรรยากาศแบ่งกันรับไออุ่นแบบนี้ ใครที่เคยมาแล้วมักจะคิดถึงกันทุกคน

ในตอนเช้าเราออกเดินทางตั้งแต่ตี 5 เพื่อขึ้นไปยังวิวพอยท์ด้านบน ไอเทมสำคัญก็คือ Head Lamp ห้ามลืมเอาไปเชียว
ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นจนมองเห็นยอดหางปลา และต้องลุ้นว่าช่วงสายๆ วันนี้ท้องฟ้าจะเป็นใจให้เราแค่ไหน






ถ้าเห็น Tea House ก็คือถึงแล้วล่ะ.. ใครใคร่จะพักจิบเครื่องดื่มร้อนๆ ก็มีหลายเต๊นท์ให้เลือกแวะ
ท้องฟ้าวันนี้ค่อนข้างดี ไม่มีเมฆหมอกปกคลุมด้านบน ความสวยงามในภาพถ่ายตามรีวิวที่เคยดู เทียบไม่ได้เลยเมื่อมาเห็นด้วยตาตัวเอง


จากตรงนี้สามารถเดินต่อไปยังเบสแคมป์ได้อีก แต่ถ้าวันที่มีหมอกหนาจะค่อนข้างอันตราย ส่วนเราขอเซลฟี่ กินลมชมวิวอยู่แถวนี้ก็พอ
อยู่ด้านบนจนทนลมหนาวไม่ไหว จึงค่อยๆ เดินลงก่อนกลุ่มคนจะเดินสวนขึ้นมาช่วงสายๆ ทางบางช่วงที่ควรระวัง สำหรับสาย Vlog สายแชะ ไม่ควรเดินไปถ่ายไปโดยไม่มองทางเป็นอันขาด
บันไดที่ขยาดตอนเริ่มวันแรก ตอนนี้ก็เริ่มคุ้นชินเสียแล้ว ที่สำคัญวันนี้เรายังเดินรวดเดียวจาก High Camp ลงมาถึง Siding กันเลยเสียด้วย รวมระยะเวลาตั้งแต่เช้าจนตะวันตกดินก็ร่วมๆ 12 ชั่วโมงเลย




ที่พักสุดท้ายของทริปก่อนเข้าเมืองโพคราในวันรุ่งขึ้น วิวเบรคฟาสต์หลักล้าน
จากตรงนี้ถ้าไม่เหมารถกลับ ต้องเดินไปอีก 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงจุดขึ้นรถบัส และด้วยทักษะของพี่คนขับอีกประมาณ 1 ชม.เราก็ถึงตัวเมือง
ข้อควรระวัง : อย่ากินอิ่มจนเกินไป มิเช่นนั้นอาจสำรอกออกหมดในช่วงนี้



หลังจากพัก recovery day อยู่ในเมืองโพคราอีก 2 วัน เราก็จะกลับไปที่กาฐมาณฑุกัน
ขามานั่งขวา ขากลับนั่งซ้าย สูตรนี้ใช้ได้ทั้งจากไทยมาเนปาล และจากกาฐมาณฑุมาโพครา ท่านก็จะได้เก็บวิวหิมาลัยให้เต็มอิ่ม
สรุปโดยรวม
เส้นทาง : ไม่ได้อันตราย แต่เรื่องความอึดก็ไม่ง่ายเช่นกัน แนะนำให้เตรียมตัวให้พร้อม
ความสะดวกสบาย : อาหารและน้ำจะแพงขึ้นตามความสูงของที่พัก แต่ถ้าจ่ายมากับไกด์หรือเอเจนซี่แล้วจะรวมไปในงบประมาณค่าที่พัก
ความสวยงาม : คุ้มค่าความเหนื่อยแน่นอน เปรียบเหมือนคุณได้รางวัลตอบแทนความสำเร็จที่รอคอย