
ถ้าหากโตเกียวคือศูนย์กลางของการเดินทางและท่องเที่ยวของทางคันโต ทางคันไซนั้นก็คือโอซาก้านั่นเอง สำหรับคนที่มาครั้งแรก ยังไงก็คงต้องไปตามจุดเช็คอินยอดนิยมให้ครบเสียก่อน
ส่วนปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ก็คือดินฟ้าอากาศ แต่จะสนุกและมีสีสันได้อย่างไร ถ้าทุกคนได้เจอประสบการณ์แบบเดียวกันเหมือนๆ กันในทุกทริป
ดังนั้นสำหรับเราทุกเงื่อนไขทุกเรื่องที่เจอในการเดินทางนั่นคือสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เข้าที่พักเพื่อฝากกระเป๋ากันก่อน ที่ UNIZO INN ใกล้กับสถานี Shin Osaka เพียงแค่เดินข้ามฝั่งถนนมา


ระหว่างทางเดินเพื่อมายังศาลเจ้า Yasaka ผ่านสวนหย่อมในเมืองที่ดูร่มรื่น แต่อันตรายจากทางเท้าที่นี่จะต่างจากบ้านเรา ก็คือคนขี่จักรยาน จะค่อนข้างเร็วต้องระวังหลังทุกครั้ง

บริเวณศาลเจ้าไม่ได้กว้างนัก แต่โดยรวมจัดพื้นที่ค่อนข้างลงตัว แต่บอกเลยว่าไม่ง่ายที่คุณจะได้รูปเดี่ยวสวยๆ
ถ้ามาช่วงคนหนาแน่นในเวลากลางวันอาจต้องใช้เวลารอคิวกันสักพัก แนะนำให้หามุมกล้อง หรือเอาตัวบังคนอื่นแทนที่จะเสียเวลารอ

มาต่อกันที่ โดทงโบริ ย่านการค้าที่คึกคัก และเป็นแลนด์มาร์กให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นมุมถ่ายภาพกับป้ายโฆษณากุลิโกะยอดนิยม



ส่วนตัวแล้วมักจะเลี่ยงพื้นที่ที่คนแออัด จึงแค่แวะมาเดินเล่นถ่ายภาพ และหาอะไรกินเล่นเท่านั้น

โอเค! ฉันมาถึงโอซาก้าแล้วนะ (ไม่งั้นคนอื่นจะไม่เชื่อ)

ไม่รู้ว่าใครมาลืมแก้วเบียร์ไว้บนสะพานนี้ สงสัยเมื่อคืนน่าจะเอาเรื่องอยู่..

เดินลัดเลาะไปเรื่อยเปื่อย นั่งรถไฟบ้างอะไรบ้าง ตกหัวค่ำมาโผล่ย่าน ชิน เซไก
แสงไฟสีสันจัดจ้านของหอคอยซึเทนคาคุ และร้านค้าบริเวณนั้น โดดเด่นมีเอกลักษณ์ ทำให้นักท่องเที่ยวต้องแวะเวียนกันมาช่วงพลบค่ำเพื่อจะได้เห็น

หอคอยมีต้นแบบมาจากหอไอเฟล ของฝรั่งเศส มีความสูง 103 เมตร มีจุดชมวิวอยู่ที่ความสูงประมาณ 90 เมตร สามารถขึ้นไปชมวิวจากด้านบนได้ และยังมีร้านค้าของฝากด้านในให้แวะขึ้นไปช้อปปิ้งอีกด้วย
ย่านชินเซไกนั้นขึ้นชื่อเป็นสวรรค์ของนักดื่ม มีตั้งแต่ระดับราคาย่อมเยาว์ธรรมดาแบบยะไต (แผงลอย) ไปจนถึงร้านนั่งดื่มจริงจัง
วันนี้ฝนตกลงมาทั้งวัน ยิ่งช่วงหัวค่ำค่อนข้างลงแรง พรุ่งนี้จะต้องไปสวนสนุก Universal หากเป็นหวัดป่วยไปคงไม่ดีแน่ จึงถือโอกาสกลับไปพักผ่อนเสียก่อนจะดีกว่า



ครั้งแรกที่คิดว่าจะมาสวนสนุก Universal Japan ในช่วงอายุเท่านี้นั้น ก็ไม่คิดว่าจะอะไรสักเท่าไร แค่อยากมาให้ครบที่ที่ควรไปสักครั้ง
แต่พอได้มาเจอกับบรรยากาศตัวการ์ตูนในเกมฟามิคอมที่คุ้นเคยในวัยเด็กแล้ว บอกเลยว่าโคตรอิน
ทุกรายละเอียด ทุกกิจกรรม ทุกคาแรคเตอร์ ล้วนทำออกมาได้ดีเหมือนในภาพจำทุกประการ แม้ว่าจะเป็นคนที่เกิดไม่ทันก็ต้องหลงรักในโซนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกอย่างแน่นอน


เนื่องจากไม่ได้ซื้อตั๋วแบบ Express มา จึงใช้เวลาต่อแถวโดยประมาณ 40 นาที ซึ่งถือว่าเร็วถ้าเทียบกับจุดอื่นๆ โดยระหว่างทางเดินนั้น มีสตอรี่ มีมุมถ่ายภาพให้ดูตลอด รับรองไม่มีเบื่อ
และแล้วก็มาถึง Mario Kart เกมสำหรับนักแข่งประลองความเร็วและเก็บคะแนน!
..โดยรวมก็ถือว่าสนุกพอใช้ได้ แค่ดูกราฟฟิกภาพกับเทคโนโลยีก็คุ้มแล้ว



โซนของที่ระลึก ของฝากบริเวณทางออก ใครใจไม่แข็งพอควรรีบเดินผ่านไป
เดินออกมาด้านนอกก็ได้เวลากินข้าวกลางวัน สำหรับเราคือร้านไหนก็ตามที่ยังมีที่นั่งอยู่ในตอนนี้ เราจะเลือกร้านนั้น ซึ่งในวันนี้ก็คือร้านอาหารจีน The Dragon’s Pearl


ดูคิวโซนเครื่องเล่นอื่นๆ จากแอพพลิเคชั่นของ USJ แล้ว จึงคิดว่าควรมาฆ่าเวลาที่โชว์ Water World ตรงนี้ก่อนจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ถือว่ามานั่งย่อยไปด้วย

โชว์ค่อนข้างทำได้สนุก ตื่นเต้น ไม่น่าเบื่อเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ใครพาลูกเล็กไปด้วยน่าจะชอบมากๆ สังเกตุจากเด็กน้อยข้างๆ ค่อนข้างจะอินตอนตะโกนเชียร์ 555




โชว์สุดขึงขังของหนุ่มน้อยจาก สถาบันเวทมนตร์ เดิร์มสแตรงก์ และสาวหน้าหวานจากวิทยาลัยเวทมนตร์โบซ์บาตง
ท่วงท่าพร้อมเพรียงไม่แผ่วเลย แม้ว่าอากาศขณะนี้จะหนาวมากๆ ลงมาหลักเลขหน่วยแล้ว

แม้จะเป็นโชว์เล็กสั้นๆ แต่ค่อนข้างใส่ใจ และให้ความมีส่วนร่วมกับแฟนคลับ ทำให้หลายๆ คนประทับใจกัน



เอาจริงๆ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเค้าต่อแถวทำอะไรกัน แต่ก็หลวมตัวเข้ามาอยู่ในช่วงรอบโชว์ร้านไม้กายสิทธิ์ ของตาลุงโอลลิแวนเดอร์ นี่แล้ว

หากโชคดีจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงคัดเลือกไม้กายสิทธิ์ที่จะเหมาะสมกับเรา โดยทดลองเสกคาถาต่างๆ สุดท้ายแล้วลุงก็จะมอบไม้ที่คู่ควรให้คุณ..
เอาไปชำระเงินด้านหน้าจ้าาา 555


เอ็นหัวใจมังกร ว่ากันว่าเป็นแกนกลางที่มีอานุภาพที่สุดที่มีประสิทธิภาพในการร่ายคาถา ในโลกของพ่อมดแม่มด
ออกมาได้จังหวะแถวที่ต่อซื้อบัตเตอร์เบียร์ คนน้อยพอดี จึงได้ฤกษ์ลองลิ้มชิมรส พร้อมกับถ่ายภาพฟองแปะแทนหนวดตามสไตล์


ส่วนแถวต่อคิวเครื่องเล่นโซนนี้ก็เบาๆ เพียงแค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น หลังจากเล่นแล้วก็รู้สึกว่าคุ้มค่านะ แต่ถ้าให้มาอีกครั้งหน้าคงต้องซื้อ Express แล้วล่ะ


บรรยากาศที่มาเที่ยวญี่ปุ่น แต่เหมือนหลุดมายุโรป 1 วัน
แวะกินอาหารที่ร้านไม้กวาดสามอัน จริงๆ อาหารในแต่ละที่นอกจากบรรยากาศจะเยี่ยมแล้วรสชาติก็ค่อนข้างโอเคเลยนะ แค่ว่าราคาจะสูงไปหน่อย



บรรยากาศค่ำคืน ก็ต่างจากโซนญี่ปุ่น และยุโรป เพราะว่าเหมือนหลุดมายังอเมริกายุค ’60, ’70



แอบเล็งร้านอิซากายะ แถวๆ หน้าโรงแรมมาตั้งแต่วันแรก วันนี้จึงเดินเข้าไปเลียบๆ เคียงๆ เมื่อรู้ว่าเค้ายินดีรับคนต่างชาติก็จึงเข้าไปด้านใน
เพราะก่อนหน้านี้บางร้านเหมือนจะอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็มีปฎิเสธที่จะรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินะ (แบบสุภาพ)


วันนี้มา อาริมะออนเซ็น โดยตั้งใจจะมาแก้ผ้าท้าสายตานิฮงจิน ที่ออนเซ็นสาธารณะที่ขึ้นชื่อของที่นี่





เอาจริงๆ หนาวๆ แบบนี้ แค่มีที่ให้หย่อนเท้าลงไปตรงนี้ก็ฟินแล้ว
ตรงนี้คือ คินโนยุ (Kin No Yu) บ่อสาธารณะที่ดังมากของเมือง น้ำแร่ที่นี่จะะมีสีน้ำตาลทอง สรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามข้อ และโรคผิวหนังต่างๆ


ส่วนบ่อที่เราตั้งใจจะมาแช่ คือ จินโนยู (Gin No Yu) หรือบ่อออนเซ็นน้ำแร่สีเงิน น้ำจะใสไม่มีสีต่างจากบ่อแรก แต่วันนี้แน่นอนว่า “ปิด” จ้าาา



เดินลัดเลาะ หลง เดินชมบ้านชมเมือง ชมสิ่งปลูกสร้าง มาเรื่อยๆ ก็มาเจอคาเฟ่ ที่มีน้องหมาชิบะ อยู่ และเป็นเวลาของกาแฟมื้อกลางวันพอดี จึงแวะเข้าไปนั่งพักผ่อนเสียหน่อย


คนที่ใช่แค่อยู่เฉยๆ เค้าก็ไปหา ส่วนเรานั้นเรียกเท่าไรน้องก็ไม่มาสักที เลยได้แค่มองดูเธอจากตรงนี้แล้วกัน
จริงๆ ด้านบนเค้าบอกว่ายังมีอีกหลายตัวนะ แต่ตอนนี้จังหวะดี น้องๆ หลับกันหมดเลย ด้วยความที่เป็นคนเลี้ยงสุนัขเหมือนกันจึงไม่อยากไปกวนเพราะน้องยังต้องทำงานอีกหลายกะ ใครวาสนาดีเจอน้องๆ ออกมาต้อนรับถ่ายรูปมาอวดกันบ้างน้า ไปตำกันได้ที่ Fish House Cafe, Arima Onsen


ช่วงบ่ายแก่ๆ นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shin Kobe เพื่อเดินเล่นย่านคิตาโนะ อิจินคัง ของเมืองโกเบ
บริเวณถนนช่วงนี้ค่อนข้างเงียบสงบ บ้านที่สวยงามบางหลังถึงกับต้องแปะป้ายบอกนักท่องเที่ยวว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวไม่ควรก้าวเข้าไปด้านใน




ด้วยความที่โกเบเป็นเมืองท่า จึงได้รับวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมทรงยุโรปจากพ่อค้าที่มาสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยบริเวณนี้
บ้านบางหลังก็เปิดให้เข้าไปชม และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้





ทางเดินที่ลาดลงจากเนินหมู่บ้านด้านบน เพื่อไปยังสถานี Kobe – Sannomiya
เราเดินผ่านจุดนี้เพื่อไปเดินเล่นบริเวณอ่าว ตรง Kobe Harborland และสวนสาธารณะ Meriken Park



ตรงนี้จะผ่าน Kobe Anpanman Museum ด้วยนะ แต่ตอนเราไปคือปิดพอดี (18.00 น.)


Kobe Port Tower สัญญลักษณ์ของเมือง มีสถาปัตยกรรมรูปทรงกลองยาวของญี่ปุ่น สูง 108 เมตร เป็นที่จำหน่ายตั๋วและของที่ระลึกต่างๆ และร้านอาหาร และยังสามารถชมวิวภูเขาร็อคโกะ อ่าวโอซาก้า รวมถึงมารอชมพระอาทิตย์ตก
เรืออาตาเกะมารุ เรือสำราญที่จำลองมาจากเรือรบสมัยเอโดะ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบรรยากาศวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปพร้อมกับการล่องเรือ


มาถึงโกเบ จะไม่กินเนื้อก็ให้มันรู้ไป เดินวนเวียนอยู่สักพัก ก็มาจบที่ร้านนี้เพราะร้านที่ดูรีวิวเอาไว้วันนี้ดันปิดเสียด้วย
ร้านนี้มีชื่อว่า「かるびの海賊」หรือ Pirates of Karubian อยู่บริเวณใกล้สถานี JR Kobe เดินเพียงแค่ 250 เมตร



ทีเด็ดของวันนี้ยกให้ “เนื้อชาบูย่าง” และเซ็ต “โคลด์ คัท” ของที่นี่ ส่วนคุณภาพและรสชาติก็คุ้มค่าสมราคาที่ย่อมเยา






ออกจากร้านอาหาร แสงไฟจากร้านค้ารอบๆ สถานีก็แทบจะไม่มีแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะจับรถไฟกลับไปนอนทิ้งตัว ที่โรงแรมแถวชินโอซาก้า
เหลืออีก 1 คืน ที่เราจะกลับไปขึ้นเครื่องที่ฟุกุโอกะกัน
