
แพลนเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิดแล้ว และเมื่อพอเปิดประเทศให้เดินทางได้ตามปกติ
เราก็ดันเลือกไปแถบคิวชู แล้วต่อด้วยทริปเนปาลก่อนซะอย่างงั้น!
ครั้งนี้ฤกษ์ดี ตั๋วโปรฯ มีพร้อม จึงกดวันลาแล้วก็รีบแจ้นมาแบบไม่ให้มีแพลนอื่นมาแทรกได้อีก

วันแรกเมื่อมาถึงเกียวโต หลังจากฝากสัมภาระยังที่พัก เราก็แวะมาเดินเล่นบริเวณแม่น้ำ Kamo ในบรรยากาศฝนพรำกำลังโรแมนติก
เหมือนฉากในหนังเรื่อง ‘ぼくは明日、昨日のきみとデートする’ หรือ ‘My Tomorrow, Your Yesterday’ ที่คู่พระเอกนัดเดทครั้งแรกกันที่นี่



อุณหภูมิที่ต่ำลง กับฝนโปรยปราย ทำให้ค่อนข้างหนาว ก็เลยไม่สามารถอยู่กลางแจ้งได้นานนัก จึงแวะหาที่หลบฝนไปเดินชมเมืองไปพลาง ทั้งยังหาเครื่องดื่มร้อนๆ มาไว้ในมืออยู่เสมอ
ฟ้าหลังฝน และอาทิตย์ยามเย็น กับบรรยากาศริมแม่น้ำ หากในวันอากาศดีๆ คงเป็นที่พักผ่อนนั่งชิลทำกิจกรรมกับครอบครัว คู่รัก ตอนเลิกงานหรือวันหยุด





เดินต่อมายังบริเวณถนนเลียบคลอง Shirakawa บริเวณที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนร้านค้าแบบญี่ปุ่นโบราณ ราวกับกำลังย้อนอดีต
บรรดาสาวไมโกะ และเหล่าเกอิชา เดินผ่านไปผ่านมาให้ได้เห็นกันอยู่เนืองๆ
ความคุมโทนในการออกแบบบ้านเรือน รวมไปถึงการแต่งตัวของผู้คน เป็นภาพติดในใจเมื่อนึงถึงประเทศนี้ขึ้นมาในทุกครั้ง



หากใครได้ดูซีรีย์ชุด The Makanai: Cooking for the Maiko House อาจผ่านตาหรือจำหลายๆ มุมในบริเวณนี้ได้ ซึ่งในละครได้ถ่ายทอดหลายๆ ส่วนของอาชีพนี้ในมุมมองที่ย่อยง่าย และเข้าใจวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้ดีขึ้น

เจดีย์ Yasaka Pagoda วัด Hokanji ยามค่ำคืน เป็นอีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินฝ่าลมหนาวช่วงหัวค่ำที่ค่อนข้างจะมืดไวกว่าปกติ เพื่อมาชม และช่างภาพมาเก็บภาพบริเวณนี้
[สิ่งที่ควรรู้] ก็คือบริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ดังนั้นควรระวัง! เรื่องการตั้งกล้องถ่ายภาพ และการใช้เสียง ไม่ให้ไปรบกวนผู้ที่อยู่อาศัยด้วย
จุดนี้อยู่ระหว่างทางเดินขึ้นไปวัดน้ำใส Kiyomizu ปักไปวัด Hokanji แล้วเดินออกมาหามุมถ่ายจะง่ายกว่า ส่วนตอนกลางวันก็จะได้บรรยากาศร้านค้าเปิดดูคึกคักไปอีกแบบ
และในภาพยนตร์เรื่อง ‘What Did You Eat Yesterday?’ หรือชื่อไทย “เมื่อวานคุณทานอะไร?” คู่พระนาย ก็มาเดินเล่นกันบริเวณนี้เช่นกัน


ใครไม่เด้ง หมูเด้ง..เอ้ย! โอเด้ง!
ที่ร้านยืนดริ๊ง โคโคโระ ‘ココロ’ แถวถนน Kiyamachi เรามาหาของกินกันแบบพนักงานออฟฟิศญี่ปุ่นหลังเลิกงาน กับเมนูโอเด้ง ยากิโทริ สาเก และบี้หรุ
ประโยคไม้ตายเมื่อเราเริ่มตาลายกับเมนูก็คือ ‘お勧めは何ですか?’ (เมนูอะไรที่คุณแนะนำ) แล้วก็ตอบรับกับทุกอย่างที่น้องพนักงานสั่งให้นั่นเอง
ที่ร้านนี้หากคุณจะนั่งก็ย่อมได้ แค่ทางร้านจะชาร์จค่านั่งเท่านั้น นี่อาจเป็นกุศโลบายไว้สำหรับพวกที่ยืนไม่ไหวแล้วหรือเปล่านะ!



อิ่มอร่อยใดๆ ก็ไม่เท่ารสชาติต้นตำหรับ กับบรรยากาศฟินๆ ของที่ญี่ปุ่น ดังนั้นทุกครั้งก่อนมาเราจึงต้องลดน้ำหนักเตรียมเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ
เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพเสียกระบวนจนป่วนแพลนของวันอื่นๆ จึงดื่มกินแต่เพียงพอดี พอที่จะแบกคนข้างๆ กลับห้องไหว

ที่พัก ‘ibis Styles’ สาขาสถานีเกียวโต สะดวก ใกล้ และไม่แพง ทำให้วางแผนการเดินทางได้ง่ายจุดเปลี่ยนขบวนก็เยอะ รถบัสก็มีผ่านหลายสาย

วันนี้ออกเดินทางแต่เช้ามายังศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ ที่มีเสาโทริอิเรียงตลอดทางขึ้นเขากว่าพันต้น โดยภูเขานี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของศาสนาชินโตในประเทศญี่ปุ่น



เทพอินาริเป็นเทพแห่งกสิกรรม โดยมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงเห็นรูปปั้นจำนวนมากได้ภายในบริเวณศาลเจ้า


หากจะเดินให้ถึงด้านบนภูเขาอาจจะต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง ในระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร
แต่จะมีจุดพักเป็นทางแยกเอาไว้ให้เปลี่ยนใจม้วนลงอยู่เป็นระยะๆ โดยทางลงจะไม่สวนกันกับทางขึ้น ทำให้สะดวกรวดเร็ว และดูเรียบร้อยมาก


พระเอก และนางเอกก็มาเดทที่นี่ด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าเราก็ม้วนกลับโดยไปไม่ถึงจุดด้านบนเช่นกัน ด้วยพลังที่เริ่มถดถอยเพราะไม่ได้กินมื้อเช้า จึงตามกลิ่นอาหารจากร้านรวงที่มาเปิดอยู่ด้านล่างลงมาอย่างรวดเร็วกว่าขาขึ้นเสียอีก




จากศาลเจ้าผ่านทางรถไฟ ข้ามสะพานอินาริ มายังศูนย์อาหารบริเวณด้านนอก มีร้านอาหารและคาเฟ่ราคาดี ที่สำคัญสามารถนั่งหลบหนาวได้ด้วย


คุ้มกว่านี้มีอีกไหม ข้าวหน้าปลาไหลในราคา 590 เยน!
อิ่มอร่อยรองท้องไปจนก่อนเที่ยงได้สบายๆ

นั่งรถไฟต่อมายังสถานี Keage เพื่อเดินทางต่อไปยังวัด Nanzen-Ji
ใช้ทางออกที่ 1 จากสถานี ขึ้นมาแล้วเลี้ยวขวา จะพบอุโมงค์ สามารถเดินลัดตรงนี้เข้าไปยังบริเวณวัดได้
โดยด้านในจะเดินผ่านบรรดาสวนญี่ปุ่นมากมาย โดยส่วนมากจะต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปชม
ส่วนเราสายฟรี ก็จะเดินบริเวณรอบๆ เท่านั้น



“Nanzen-ji Temple, Much better for your next visit”
คือประโยคเดียวของ Cho Sensei ในซีรีย์ชุด ‘Cobra Kai’ ทำให้เราสนใจ หาข้อมูล และมาถึงที่นี่
ตรงทางประตูหลักทางเข้าด้านใน ที่มองลอดผ่านไปเปรียบเสมือนกรอบรูปบานใหญ่ที่มีภาพวิวแมกไม้กลายเป็นฉากให้หลายคนยืนถ่ายภาพบริเวณนี้
ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่คงดูงดงามละลานตาน่าดู


สะพานส่งน้ำอิฐสีแดง ถูกสร้างขึ้นในยุคเมจิ เพื่อนำน้ำจากทะเลสาบบิวะมายังเกียวโต ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และจุดถ่ายภาพแนววินเทจ
ในเรื่อง ‘What Did You Eat Yesterday?’ ก็มีฉากในบริเวณนี้ด้วย




นั่ง Subway Tozai line มาเปลี่ยนขบวนที่สถานี JR Nijo เพื่อไปลงที่สถานี JR Saga Arashiya แล้วเดินบริเวณสะพาน Togetsukyo





ที่นี่มีบริการล่องเรือชมวิวสองข้างแม่น้ำ หรือจะเช่าเรือเล็กพายเองก็มีนะ



‘eX cafe’ คาเฟ่ของหวาน พร้อมเตาถ่านให้เราได้ย่างดังโงะกินกันเอง คือถ้าไหม้ก็โทษใครไม่ได้นะ

เมนูซิกเนเจอร์คือ Hokuhoku Odango Set เสิร์ฟคู่ถั่วแดง และชาเขียวพรีเมียม



ตบท้ายด้วยความหวาน เย็น สดชื่น กับ ‘วาราบิโมจิ’

ไฮไลท์ที่ตั้งใจจะมาอีกจุดหนึ่งของวันนี้ก็คือป่ากิโมโน (Kimono Forest) ที่จะสว่างไสวยามพลบค่ำ ที่เราคำนวณเวลามาพอดีในช่วงขากลับ
เสากว่า 600 ต้นที่เรียงราย แต่ละต้นจะใช้ผ้ากิโมโนหลากสีสันมากมายสไตล์ Kyo-yuzen แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นชื่อของสไตล์การย้อมผ้าที่พัฒนาในเกียวโตในสมัยเอโดะ
โดยที่เราสามารถเข้าชมได้ฟรีๆ บริเวณทางเข้าด้านข้างของสถานีรถไฟ Arashiyama (คนละสถานีกับขามาซึ่งเป็นของ JR) และท่านสามารถกลับด้วยรถราง Randen ได้ หากต้องการเสพบรรยากาศการท่องเที่ยวแบบท้องถิ่น



สถานีเกียวโต ฝั่งห้างสรรพสินค้า Isetan ที่ชั้น 4 จะมีบันไดสูงชันประดับหลอดไฟ LED สลับไปมาเป็นรูปภาพต่างๆ ตามธีมในแต่ละเทศกาล พร้อมเสียงเพลงดนตรี
เป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรแวะมาเยี่ยมชมถ้ามาที่นี่
จะว่าไปถ้าเทียบกับโตเกียวแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวในแต่ละจุดนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวก็ดูไม่อึดอัดจนเกินไปนัก ยิ่งถ้าเลี่ยงวันหยุดหรือเวลาไพรม์ไทม์ได้ ถือว่าชิลเลย
..สองวันสองคืนที่เกียวโต เวลาเที่ยวแบบสโลไลฟ์ แต่กลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พรุ่งนี้เราก็จะไปอยู่ที่โอซาก้ากันแล้ว..
